Saturday 28 April 2012

แฟชั่นของหนุ่มๆ ไม่ตกเทรนด์




หลังจากที่อัพเดทเทรนดืแฟชั่นของสาวๆ กันไปเยอะแล้ววันนี้เราจะมาอัพเดทเทรนด์ฮิตของหนุ่มกันบ้างค่ะว่าตอนนี้หนุ่มๆเค้าฮิตอะไรใส่อะไรกันบ้าง


- เสื้อยืดกางเกงยืน
สไตล์การใส่แบบนี้ยังคงฮิตติดลมบนตลอดเวลาใส่แล้วไม่มีเอ้าท์แน่นอน หากหนุ่มๆ คนไหนที่ไม่ชอบแต่งอะไรมากชอบสบายๆลองเลือกเสื้อยืดลายแปลกใส่กับรองเท้าผ้าใบคู่โปรด รับรองอินไม่มีเอ้าท์แต่จะให้ดีลองหาแว่นตาเก๋หรือสร้อยเท่ห์มาเพิ่มรับรองสาวมองจนเหลียวหลังค่ะ

- สำหรับหนุ่มทำงาน หรือหนุ่มออฟฟิต
เดี่ยวนี้หนุ่มออฟฟิตเค้าหันมาใส่เสื้อเชิ้ตที่มีลูกเล่นสีสันสดใส รวมไปถึงกางเกงก็มีการปรับเปลี่ยนรุปทรงให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยนะค่ะ ถ้าหนุ่มๆคนไหนยังใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง กางเกงจีบเด่นมาแต่ไกลรีบเก็บชุดเหล่านั้นเก็บเข้ากรุไปเลยค่ะเพราะมันเอ้าท์ไปแล้ว (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรเลือกใส่ตามความเหมาะสมนะค่ะ เพราะสถานที่ทำงานของคุณหนุ่มๆ แต่ละคนอาจจะไม่เอื้ิออำนวยให้ใส่ในแบบแฟชั่นมากนักค่ะ)

- สำหรับเสื้อลายสก็อต
เสื้อแบบนี้ยังสามารถใส่ได้อยู่ค่ะในถือเป็นสไตล์ที่หนุ่มๆ มักจะชอบใส่รองลงมาจากเสื้อยืดเลยก็ว่าได้ค่ะ ถ้าหนุ่มๆ คนไหนยังไม่มีเสื้อลายสก็อตไว้ในครอบครองรีบไปหามาไว้สักตัวสองตัวนะค่ะ แต่ขอเตือนไว้สักหน่อยนะค่ะว่าควรเลือกลายที่ดูเข้ากับตัวเองด้วยล่ะ มิเช่นนั้นอาจจะโดนแซวว่าจะไปไร่อ้อยได้นะค่ะแล้วจะหาว่าไม่เตือน...

- เสื้อเเขนยาวสไลต์ลำลอง
แบบนี้ก็ดูทำให้เป็นผู้ชายเท่ห์ไปอีกแบบค่ะแต่ว่าควรจะใส่ให้พอดีตัวนะค่ะ แล้วควรถึงแขนขึ้นมาเล็กน้อยถ้าปล่อยยาวๆอาจจะดูเป็นคุณลุงเกินไปและเพิ่มความเท่ห์ด้วยนาฬิกา แหวนไปด้วยก็ดูดีไปอีกแบบ แต่เสื้อสไตลต์แบบนี้ไม่เหมาะกับคุณหนุ่มๆ ที่มีพุง หรือเจ้าเนื้อเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ดูอ้วนตันจนคุณอาจจะหมดหล่อไปเลยค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างค่ะกับการอัพเดทเทรนด์แฟชั่นของหนุ่มในตอนนี้ สาวๆคนไหนที่เข้ามาอ่านแล้วสนใจก็นำไปบอกต่อให้กับหวานใจคุณได้นะค่ะ หรือจะลองซื้อไปมอบให้เป็นของขวัญก็ยิ่งดีเลยค่ะ แล้วพบกันใหม่นะค่ะ

ความรู้ดีๆ จากเว็บดีๆ : http://women.sanook.com

Healthy Boys 3 : How to ผู้ชายหน้าใส


สำหรับผู้ชายที่รักความหล่อและอยากจะบำรุงผิวหน้าให้พิเศษยิ่งกว่านี้ มีอีกสองวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองมาแนะนำ หรือถ้าขี้เกียจ จะไปทำตามสถามเสริมความงามก็ได้ รับรองว่าขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แล้วก็ปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่ต้องการเสี่ยงกับเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ด้วยสองวิธีนี้ควรจะเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง สักเดือนละครั้งกำลังดีนะครับ แต่อย่าทำสองอย่างพร้อมๆ กัน หรือติดๆ กัน เพราะแบบนั้นแทนที่จะบำรุง อาจจะกลายเป็นการทำให้หน้าช้ำและบอบบางยิ่งขึ้นก็ได้

วิธีที่ 1 : นวดหน้าแบบชายชาตรี
การนวดหน้าก็คือการใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมที่ช่วยในการบำรุงผิวหน้าสูงมาทาบริเวณใบหน้า แล้วใช้มือนวดเพื่อผลักครีมให้เข้าไปในผิวหน้า และเพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ผ่อนคลาย
วิธีนี้เหมาะกับคนผิวแห้งมากกว่า เพราะครีมมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่สูง คนผิวมันนวดแล้วจะพานเป็นสิวได้ง่ายๆถ้ากำลังเป็นสิวอยู่ อย่านวดหน้า เพราะการนวดหน้านอกจากจะเพิ่มความมันเข้าไปแล้ว ยังทำให้สิวถูกเสียดสีมากจนบวมช้ำเม็ดเบ้งขึ้น หรืออาจอักเสบรุนแรงได้

วิธีที่ 2 : พอกหน้าแบบชายอกสามศอก
การพอกหน้านั้นจริงๆ แล้วเหมาะกับทุกสภาพผิว และดีเป็นพิเศษสำหรับคนผิวมัน อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์พอกหน้าสำหรับแต่ละสภาพผิวให้เลือกซื้ออีกมากมายด้วย จึงเป็นวิธีที่สะดวกและเป็นที่นิยมมากกว่า
การพอกหน้านั้นมีอยู่สองประเภทหลักๆ คือ
- การพอกหน้าเพื่อบำรุง แบบนี้เนื้อครีมพอกหน้าจะออกแนวชุ่มชื้น ไม่แห้งแข็ง เช็ดออกหลังการพอกได้ง่าย แล้วล้างหน้าตามด้วยน้ำเปล่าได้ โดยไม่จำเป็นต้องล้างด้วยเจลหรือโฟม เพราะเนื้อครีมที่ตกค้างอยู่จะเป็นตัวบำรุงผิวนั่นเอง
- การพอกหน้าเพื่อทำความสะอากล้ำลึกและกำจัดความมัน ครีมพอกหน้าแบบนี้จะมีเนื้อครีมข้นหนืดและเป็นครีมแบบแห้ง คือ ค่อยๆ แห้งช้าๆ หลังจากพอกหน้าแล้ว และบางแบบแห้งจนเป็นหน้ากาก ครีมพอกหน้าแบบนี้จะช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขนให้สะอาดหมดจด และเมื่อแห้งแล้วสามารถเช็ดออกด้วยน้ำเปล่าหรือลอกออกก็ได้ ตามแต่คุณสมบัติของครีมแต่ละตัว แต่ควรตามด้วยการล้างหน้าด้วยเจลเสมอ เพื่อกำจัดเนื้อครีมที่ตกค้าง

X DDT : Don't Do That! หยุด...อย่าขยับ
- ถ้าจะพอกหน้า ควรอยู่คนเดียว ห้ามพูดคุยกับใคร หรือคุยโทรศัพท์แก้เซ็ง เพราะเดี๋ยวหน้าขยับแล้วจะยับแทนที่จะหล่อ
- อย่าดูหนังหรือทีวีเวลาพอกหน้า หันมาฟังเพลงแทนดีกว่า เพราะหากแจ๊คพ็อตเจอฉากตลก จะหัวเราะขำกลิ้งจนหน้ายับ
- ถ้าหิวน้ำให้ใช้หลอดดูดช่วย จะลดการขยับหน้าได้มากกว่าการดื่มจากแก้ว
แล้วมาสก์สำเร็จรูปที่เห็นตามโฆษณาล่ะใช้ได้ไหม
มาสก์สำเร็จรูปที่มาเป็นแผ่นผ้าหรือแผ่นกระดาษรูปใบหน้านั้นก็สะดวกและรวดเร็วดีครับ เพราะสามารถฉีกซองแล้วแปะได้เลย โดยไม่ต้องยุ่งยากควักกระปุกทาครีมให้ดูเสียกิริยา แถมสูตรและส่วนผสมก็มีให้เลือกเพียบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมาสก์แบบเปียกสำหรับการบำรุงผิวหน้าเสียมากกว่า ( ให้ผลคล้ายกับพอกหน้าแบบแรก ) ดังนั้นถ้าต้องการกำจัดความมันหรือทำความสะอาดล้ำลึก ใช้มาสก์แบบแห้งลักษณะเดิมนั่นละเวิร์คสุดแล้ว

ความรู้ดีๆ จากเว็บดีๆ : http://women.sanook.com

Healthy Boy 2 : ร้อนแบบนี้ ทาครีมกันแดดดีไหม?


ไม่ทาครีมกันแดดได้ไหม?
ไม่ได้ครับ เพราะอยู่ในความดีของแสงแดดนั้นก็มีความร้ายกาจของรังสีซ่อนอยู่มากมายเช่นกัน อันตรายจากแสงแดดนั้นมีมากกว่าที่เราคิด โดยเฉพาะเมืองไทยยุคนี้ที่แดดแรงจัดได้ทุกฤดู นอกจากผลเสียที่สัมผัสได้โดยตรงจากอาการแสบผิวเวลาปะทะกับแสงแดดจัดแล้ว ผลเสียอื่นๆ ที่ตามมาก็คือ ผิวหนังไหม้แดง เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวคล้ำขึ้น แล้วไหนจะมีมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากการไม่ป้งอกันผิวเวลาเจอกับแสงแดดแรงๆ เป็นประจำอีก ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ผู้ชายไทยทุกคนควรจะใช้ เพื่อปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวี


มันคืออะไร?
SPF : ย่อมาจาก Sun Protection Factor ซึ่งก็คือค่าของตัวเลขที่ใช้แสดงประสิทธิภาพของการป้องกันแสงแดดนั่นเอง ซึ่งค่า SPF ที่ดีนั้นควรระบุคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวีให้ครบทั้ง UVA และ UVB ( โดยเฉพาะ UVB ที่เป็นสาเหตุของการทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม ) ค่าตัวเลข SPF นั้นยิ่งมากก็ยิ่งจะป้องกันแสงแดดได้ดีและยาวนานกว่า แต่ก็ใช่ว่าค่า SPF สูงๆ นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป
UVA : รังสีที่ส่งผลต่อผิวหนังชั้นเดอร์มิส ทำให้เกิดอนุมูลอิสระและทำลายเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและเป็นริ้วรอย
UVB : รังสีที่ส่งผลกระทบต่อเซลล์เมลาโนไซต์ ( melanocyte ) ในผิวหนังชั้นบนสุด ( epidermis ) ทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีผิวเมลานิน ( melanin ) ซึ่งทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ ฝ้า และกระ อีกทั้งทำให้ผิวร้อน แดง และไหม้เกรียม แบบที่เรียกว่า sunbum แถมหนักๆ เข้ายังก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ด้วย
DIY : Do It Yourself สูตรการคำนวณค่า SPF กับประสิทธิภาพในการป้องกันแดดแบบง่ายๆ
สูตร
ค่า SPF * 15 = ระยะเวลาเป็นนาทีที่จะป้องกันแดดได้ดีที่สุด
SPF 08 : 8 * 15 = 120 นาที หรือ 2 ชั่วโมง
SPF 15 : 15 * 15 = 225 นาที หรือ 3 ชั่วโมง 45 นาที
SPF 30 : 30 * 15 = 450 นาที หรือ 7 ชั่วโมง 30นาที
SPF 50 : 50 * 15 = 750 นาที หรือ 12 ชั่วโมง 30 นาที
รู้ไหม Numbers to Remember : ตัวเลขที่มากับแดด ?
15 คืือ ตัวเลขของค่า SPF ที่เหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด เพราะจากผลการวิจัยหลายๆ แห่งระบุว่า ค่า SPF 15 นี้เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดดในเมืองไทยแล้ว โดยเฉพาะ ออฟฟิศแมนทั้งหลายที่ออกมาโดนแดดกันเพียงไมเท่าไร แล้วก็กลับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ ในร่มกันเสียส่วนใหญ่ 15 นาที คือช่วงเวลาที่เราควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดทิ้งไว้ก่อนที่จะออกไปเจอแดดจริงข้างนอก
9 - 15 หรือ 9.00 น. - 15.00 น. คือ ช่วงเวลาที่แสงแดดแรงและเป็นอันตรายมากที่สุด หากหลีกเลี่ยงการเผชิญแดดในช่วงเวลานี้ได้จะเยี่ยมมาก แต่ถ้าจำเป็นต้องออกแดดก็ควร พยายามเดินแอบๆ ในที่ร่ม หรือพกอุปกรณ์กันแดด ( เช่น หมวก ร่ม หรือคนถือร่ม ) ไปด้วย
40 คือ จำนวนนาทีที่เราสามารถอยู่ในน้ำได้ โดยไม่ได้รับอันตรายจากแสงแดด หลังจาก ทาผลิตภัณฑ์กันแดดแบบทนน้ำ ที่ระบุข้างขวดว่า Water Resistant ( ซึ่งเหมาะกับคน 
เหงื่อเยอะอย่างยิ่ง )
80 คือ จำนวนนาทีที่เราสามารถอยู่ในน้ำได้ โดยไม่ได้รับอันตรายจากแสงแดด หลังจาก ทาผลิตภัณฑ์กันแดดแบบน้ำ ที่ระบข้างขวดว่า Water Proof ( แบบนี้จะทาประจำก็ เกินไป ใช้เวลาลงน้ำอย่างเดียวพอ )
X DDT : Don't Do That! ใช้ SPF สูง > ผิวดื้อสารกันแดด
ความเชื้อที่ถูกแต่นำมาปฏิบัติกันผิดๆ นี้ รู้หรือเปล่าว่ามันเกิดผลร้ายมากกว่าผลดีเสียอีก...คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ นั้นจะช่วยกันแดดได้ดีกว่า โดยหารู้ไม่ว่าการใช้ค่า SPF สูงๆ ติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดอาการผิวดื้อสารกันแดด ทำให้เวลาไปเจอแดดจัดๆ จริงๆ แล้ว ผลิตภัณฑ์จะไม่สามารถป้องกันแดดได้ตามประสิทธิภาพที่ระบุไว้ ทำให้ผิวคล้ำได้ง่ายแม้จะทาผลิตภัณฑ์ป้องกันมาแล้วเป้นอย่างดี
ข้อสังเกต : ที่ผ่านมาเราใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูงๆ เป็นประจำหรือเปล่า ผิวหน้าเราคล้ำจนผิดปกติหรือเปล่าเวลาออกแดดจัด ใบหน้าดูหมองๆ ชอบกลหรือเปล่าเวลาส่องกระจก
แก้ไข : หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร SPF ไปสักพัก ( หยุดใช้ไปเลย ไม่ใช่ใช้ที่มีค่า SPF ลดลง ) ราวๆ 1 เดือน เพื่อให้ผิวหน้าได้พักผ่อนและปรับสภาพใหม่ ขณะที่หยุดใช้ก็พยายามเลี่ยงการเผชิญแสงแดดให้มากที่สุด หรือหาอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติม เช่น ใส่เสื้อแขนยาว ใส่หมวก หรือกางร่มเวลาออกแดด เมื่อครบหนึ่งเดือนค่อยกลับมาใช้ใหม่ โดยใช้แค่ SPF 15 ก็พอ
ข้อแนะนำ : สำหรับค่า SPF สูงๆ นั้น ถ้าใช้เป็นบางโอกาสจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพกว่า เช่น วันที่ต้องออกแดดแรงๆ นาน ต้องทำงาน หรือมีปาร์ตี้กลางแจ้ง ก็ให้ใช้ SPF 30 เพิ่มขึ้นมาเป็นกรณีเฉาะกิจ แต่ถ้าจะให้ไปทะเลหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ก็ให้ใช้ SPF 50 เป็นต้น

ความรู้ดีๆ จากเว็ปดีๆ : http://women.sanook.com

Healthy Boy ๑ : เรื่องของผม!

Hair Story  : เรื่องของผม ผม ผม ;)

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับ ‘ผม' เป็นอันดับสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน หลังอ่าน Grooming หน้านี้จบแล้วเห็นทีต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะไม่ใช่แค่หน้าตาหรือเสื้อผ้าเท่านั้นที่จะทำให้คุณดูดีได้ เส้นผมที่มีสุขภาพดีพร้อมด้วยการจัดแต่งอย่างลงตัว ก็สามารถเนรมิตให้คุณกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ชวนมองได้ในพริบตา และสำหรับใครที่ยังมีคำถามคาใจเรื่องของเส้นผม คุณรินดา-วรรณอนงค์ พิริยะปัญญาพร ช่างผมมืออาชีพอันดับ 4 ของโลก และเจ้าของร้าน Splendid by Linda มีคำตอบให้ค่ะ



All about Hair Q&A
Q: เส้นผมของผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันอย่างไร
A: ในความเป็นจริง เส้นผมคนเราไม่ได้แตกต่างกันที่เพศหญิงหรือชาย แต่แตกต่างกันในเรื่องของเชื้อชาติมากกว่า หมายความว่า ถ้าเป็นผมของคนเอเชีย จะมีลักษณะเป็นเส้นกลม แต่ถ้าเป็นผมของคนยุโรปนั้น เส้นผมจะเป็นทรงรี ซึ่งการตัดแต่งทรงผมของเส้นผมที่มีลักษณะเป็นทรงรีจะค่อนข้างง่ายกว่า

Q: ปัญหาผมเสียของผู้ชายส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุใด
A: สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ผมเสีย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนั้น หลักๆ เกิดจากการทำความสะอาดไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการสระผม ซึ่งหากสระผมไม่สะอาด หนังศีรษะก็จะเกิดการติดเชื้อราได้ ส่งผลให้เส้นผมและรากผมไม่แข็งแรง หลุดร่วงได้ง่าย อีกทั้งประเทศไทยมีอากาศร้อนชื้น จึงยิ่งทำให้หนังศีรษะมันและอับชื้นได้ง่าย จะสังเกตได้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่เส้นผมจะร่วงและมีศีรษะล้าน ซึ่งนอกจากเรื่องของกรรมพันธุ์แล้ว ยังเกี่ยวกับการดูแลความสะอาดของเส้นผมด้วย

Q: วิธีการดูแลเส้นผมที่ถูกต้องของผู้ชาย
A: ขอแนะนำ 8 ขั้นตอนสำคัญของการสระผมซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ขั้นตอนแรกคือต้องอ่านคำแนะนำของแชมพูและครีมนวดผมให้มั่นใจถึงวิธีการใช้ ก่อน เพราะแชมพูบางประเภทจะบอกให้เราทิ้งยาสระผมไว้ประมาณ 5 นาที จึงจะสามารถล้างออกได้ อย่างเช่นแชมพูรักษาหนังศีรษะและรังแค เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 2 ใช้น้ำอุ่นในการสระผม เพราะน้ำอุ่นจะช่วยละลายความมันบนหนังศีรษะและเส้นผม ควรจะปล่อยน้ำอุ่นให้ไหลผ่านเส้นผมก่อนประมาณ 1-2 นาทีก่อนใส่แชมพู
ขั้นตอนที่ 3 เทแชมพูลงบนฝ่ามือ ถ้าผมสั้นใช้ปริมาณประมาณเหรียญบาท ถ้าผมประบ่าเหรียญห้าบาท แต่ถ้าผมยาวมากแนะนำว่าแบ่งใส่เป็น 2 ช่วง คือโคนผมและปลายผม ขนาดประมาณเหรียญสิบนะคะ หลังจากนั้น ให้ถูฝ่ามือเพื่อกระจายแชมพูแล้วค่อยๆ ลูบแชมพูบนเส้นผม และสอดนิ้วมือไปที่หนังศีรษะ การทำแบบนี้มีเหตุผลค่ะ คือแชมพูเป็นสารซักล้างชนิดหนึ่งที่เกิดจากสารเคมี ถ้าเราบีบแชมพูแล้วโปะหรือเทไปที่ศีรษะโดยตรง จะทำให้แชมพูค้างเป็นกระจุกและล้างออกยากกว่า เวลาสระก็จะไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณแชมพูเกินความจำเป็น และไม่ใช่แค่ล้างยาก การที่มีสารตกค้างก็จะทำให้ผมแห้ง แตก หรือเกิดการลอกของหนังศีรษะได้ด้วย
ขั้นตอนที่ 4 เวลาสระผมควรเน้นการนวดเบาๆ ที่ไรผมตามขอบหน้าด้วย เพราะอาจมีโลชั่นหรือเครื่องสำอางติดค้างอยู่ พยายามอย่าใช้เล็บเพราะอาจติดเชื้อจากซอกเล็บหรืออาจเกิดแผลจากการเกาได้
ขั้นตอนที่ 5 ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นจนน้ำใส แล้วลองสัมผัสดูว่ายังมีความมันอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็สระแบบเดิมอีกครั้งก่อนลง ครีมนวด
ขั้นตอนที่ 6 ใส่ครีมนวดโดยเทขนาดเท่ากับแชมพูแล้วถูกับมือก่อนลงที่เส้นผม แต่จะไม่ใส่ที่โคนผมเลยเพราะคนเอเชียมักมีโคนผมมันอยู่แล้ว ลูบครีมนวดที่ปลายผมแล้วกางนิ้วออกให้เหมือนหวีเพื่อสางเข้าไปด้านในของส่วน ปลายผม เพื่อกระจายครีมนวดให้ทั่วเส้นผม
ขั้นตอนที่ 7 ล้างออกด้วยน้ำอุ่นจนน้ำใสสะอาดแล้วตามด้วยน้ำเย็นสักระยะหนึ่ง ช่วยให้สดชื่นและปิดเกล็ดผมในเวลาเดียวกัน และขั้นตอนที่ 8 คือซับผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู ห้ามขยี้นะคะ เพราะเส้นผมเมื่อโดนน้ำจะอ่อนแออยู่แล้ว ถ้าเราขยี้ เกล็ดผมจะถูกันทำให้แตกขาดได้

Q: ทรงผมของผู้ชายที่เหมาะกับแต่ละรูปหน้า
A: การเลือกทรงผมให้เหมาะสมนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปหน้าเป็นหลัก แต่จะต้องดูองค์-ประกอบโดยรวมของแต่ละบุคคล เช่น สีผม สีตา อาชีพ หน้าที่การงาน หรือไลฟ์สไตล์ เพราะบางครั้งทรงผมที่เหมาะกับคนรูปหน้าแบบนี้ พอตัดออกมาแล้วอาจจะไม่เหมาะหรือเข้ากับบุคลิกของเขาเลยก็ได้ เช่น ถ้าตัวใหญ่ หน้ากลม ตัดผมสั้นมากก็จะทำให้หัวหลิม เป็นต้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างในการออกแบบทรงผม

Q: เทรนด์ผมของผู้ชายช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า
A: เทรนด์ผมในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า น่าจะเป็นผมสั้น เน้นความเป็นผู้ชายเท่ๆ เน้นสีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด


TIPS FROM THE EXPERT
"การใช้แวกซ์หรือมูสในการจัดแต่งทรงผมนั้น ถือเป็นวิธีการที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วที่สุด เนื้อมูสจะมีน้ำหนักเบา ละเอียด และง่ายต่อการใส่ผม โดยจะช่วยยกโคนผมให้พองฟูและอยู่ทรง เหมาะกับคนที่มีผมบาง ผมหยักศก และผมดัด แต่ความจริงก็ใช้ได้กับทุกสภาพเส้นผมและทุกทรง ซึ่งการใส่มูสให้ทั่วและไม่เปลืองนั้น เพียงบีบมูสไว้บนฝ่ามือ และหาหวีซี่ห่างๆ ตักมูสบางส่วนแล้วก้มศีรษะ หวีผมย้อนมาข้างหน้า มูสก็จะทั่วและพร้อมให้คุณแต่งทรงได้ตามใจ ส่วนแวกซ์นั้นมีหน้าที่สร้างความเงางามให้แก่เส้นผม วิธีง่ายๆ คือป้ายแวกซ์ใส่มือ ก้มศีรษะ กางนิ้วออกห่างๆ แล้วเริ่มสอดนิ้วลงไปในส่วนปลายผมช่วงท้ายทอยก่อน จากนั้นค่อยไล่ไปช่วงด้านหน้าของศีรษะ เสร็จแล้วก็จัดทรงผมตามที่ต้องการ ไม่ควรใส่ที่โคนผมเพราะจะทำให้โคนผมล้ม และดูเฉอะแฉะนะคะ"

ที่มา จาก http://women.sanook.com  

Friday 27 April 2012

Summer time with Sara Jean Underwood

เชื่อว่าคุณผู้ชายหลายๆคนต่างเบื่อกับอากาศร้อนอบอ้าวในซัมเมอร์ปีนี้ ถึงกระนั้น กระผมจะขอเพิ่มดีกรีความฮอตขึ้นไปอีก กับ Sara Jean Underwood  นางแบบสุดฮอตจากหนังหลายๆเรื่องเช่น Miss March, Epic Movie เป็นต้นนะครับ เชิญชมขอรับ




















Credit รูปจากเว็ปกระปุก ฮ้าฟฟฟว์  >> kapook.com